• 21 ตุลาคม 2019 at 14:54

Ferrari 812 GTS: สปอร์ตคาร์เปิดประทุน ขุมพลัง V12

หวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยเครื่องยนต์ 800 แรงม้า นี่คือสปอร์ตคาร์เปิด

ประทุนที่ทรงพลังที่สุด ณ เวลานี้

สายพันธุ์ม้าลำพองในตำนาน 812 GTS สร้างมาตรฐานใหม่ในด้านของสมรรถนะและความพิเศษเหนือระดับ ดุดันด้วยขุมพลัง 800 แรงม้า V12 อันเกรียงไกรของ Ferrari ไม่เพียงแค่การเป็นสปอร์ตคาร์เปิดประทุนที่ทรงพลังที่สุดในคลาสเท่านั้น แต่ยังเป็นรถที่ใช้งานได้เอนกประสงค์ จากความยอดเยี่ยมของหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งให้มีพื้นที่ความจุในห้องเก็บสัมภาระท้ายรถมากยิ่งขึ้น

หลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ (RHT – Retractable Hard Top) ใช้เวลาเพียง  14 วินาทีในการเก็บเข้าที่ และทำงานได้ขณะรถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 45 กม./ชม. ทั้งยังไม่กินพื้นที่ภายในห้องโดยสารอีกด้วย กระจกหลังควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า          จะทำหน้าที่เป็นแผ่นบังลม ช่วยคงความสุนทรีย์ในการขับขี่แม้จะเปิดหลังคาอยู่ก็ตาม หรือในกรณีที่ปิดหลังคาก็ยังคงเปิดโอกาสให้ได้ดื่มด่ำเสียงคำรามของเครื่องยนต์ V12 อย่างชัดเจนเช่นกัน 

เครื่องยนต์  (ENGINE) 812 GTS คือเวอร์ชั่นเปิดประทุนของรุ่น 812 Superfast ซึ่งมีทั้งคุณสมบัติและเพอร์ฟอร์มานซ์ในระดับเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเครื่องยนต์ขนาด 800 แรงม้า ที่ 8,500 รอบ/นาที ซึ่งนับว่าทรงพลังที่สุดเมื่อเทียบกับรถในคลาสเดียวกัน แรงบิดที่มากถึง 718 นิวตันเมตร ช่วยยืนยันได้ว่ารถจะมีอัตราเร่งอันน่าทึ่งเช่นเดียวกับ 812 Superfast ทั้งยังรับประกันความสนุกในการขับขี่ด้วยรอบเครื่องยนต์ที่ทำได้สูงสุดถึง 8,900 รอบ/นาที  เช่นเดียวกับใน 812 Superfast ขีดขั้นแห่งสมรรถนะอันยอดเยี่ยมเกิดขึ้นจากการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่องยนต์และการนำนวัตกรรมต่างๆ มาใช้ ตัวอย่างเช่น ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection ที่มีแรงดันสูงถึง 350 บาร์ และระบบควบคุมขนาดของท่อร่วมไอดีแบบแปรผัน ซึ่งพัฒนามาจากเครื่องยนต์แบบไม่มีระบบอัดอากาศของรถแข่ง F1 ระบบเหล่านี้ช่วยให้สามารถเพิ่มความจุกระบอกสูบจาก 6.2 เป็น 6.5 ลิตร เพื่อให้มีพละกำลังมากขึ้น แม้ในขณะใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ ก็ตาม

นอกจากนั้น ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยแรงดันสูง ยังทำให้เชื้อเพลิงที่ฉีดพ่นออกมา เป็นฝอยละอองขนาดเล็ก  มากขึ้น จึงลดมลพิษได้เป็นอย่างดีในระหว่างที่ตัวกรองไอเสียยังไม่ถึงอุณหภูมิทำงาน ขณะที่ตัวกรองอนุภาคน้ำมันเบนซิน (GPF - Gasoline Particulate Filter) รวมถึงระบบ Stop&Start On the Move ซึ่งจะหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ขณะรถจอดและติดเครื่องโดยอัตโนมัติอีกครั้งเมื่อรถต้องเคลื่อนที่ ก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วยให้รถคายมลพิษต่ำตามมาตรฐานข้อกำหนด

มีการปรับปรุงการทำงานของโหมดต่างๆ ในระบบ Manettino อย่างพิถีถันเป็นพิเศษ เพื่อเพิ่มศักยภาพของเครื่องยนต์ และรับมือกับพละกำลังมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมานั่นหมายความว่า ผู้ขับขี่สามารถควบคุมแรงบิดมหาศาลผ่านคันเร่งได้อย่างง่ายดายและมั่นใจ ด้วยพลังที่ส่งผ่านออกมาอย่างราบรื่นในทุกรอบเครื่อ เส้นโค้งของกราฟแรงบิดเผยให้เห็นว่าแรงบิดไม่ได้สูญหายไปกับการเพิ่มพลังเครื่องยนต์โดย 80 เปอร์เซ็นต์ของแรงบิด มีให้ใช้งานที่รอบต่ำเพียง 3,500 รอบ/นาที ช่วยให้รถมีสมรรถนะที่ดีแม้อยูในความเร็วต่ำ

                          

ขณะที่เส้นกราฟของแรงม้านั้น จะยกสูงขึ้นเต็มพิกัดไปจนถึง 8,500 รอบ/นาที และเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันใจตามความเร็วรอบเครื่องยนต์ ผลจากการมีแรงเสียดทานต่ำส่งให้ผู้ขับสามารถสัมผัสได้ถึงอัตราเร่งอย่างไร้ขีดจำกัดการเพิ่มพลังเครื่องยนต์โดยรวม ตลอดจนการปรับพละกำลังให้อยู่ในช่วง 6,500-8,900 รอบ/นาที ช่วยเรียกแรงม้าส่วนใหญ่ออกมาใช้งานได้อย่างต่อเนื่องเมื่อขับขี่ในสนาม หากคงรอบเครื่องยนต์ไว้ในระดับค่อนข้างสูงตลอดเวลาเกียร์แบบคลัตช์คู่ช่วยเพิ่มความสปอร์ตให้กับการขับขี่ เมื่อปรับสวิตช์ Manettino เข้าสู่โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ระยะเวลาในการเปลี่ยนเกียร์ ขึ้น-ลง จะถูกปรับให้รวดเร็วขึ้น เพื่อให้การส่งกำลังเป็นไปอย่างฉับไวมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจยิ่งขึ้นแก่ผู้ขับขี่ นอกจากนั้น ยังมีการปรับอัตราทดเกียร์ให้ชิดกว่าเดิมจนผู้ขับสามารถสัมผัสถึงการตอบสนองคันเร่งอันว่องไวได้อย่างชัดเจน

 

รูปแบบของระบบระบายไอเสียได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มและปรับสมดุลของเสียงเครื่องยนต์และเสียงที่ดังออกมาจากปลายท่อ โดยเป้าหมายก็คือ การสร้างสรรค์เสียงคำรามที่ดุดันสไตล์สปอร์ตแม้ในขณะขับขี่โดยปิดหลังคาก็ตามมีการปรับแต่งท่อไอเสียช่วงกลางเพื่อให้ได้มาซึ่งเสียงที่ไพเราะยิ่งขึ้น ทุกท่อของท่อร่วมไอเสียแบบ 6-1 (6 ท่อ รวมเข้ามาเป็น 1 ท่อ) ก่อนต่อมายังตัวกรองไอเสีย มีความยาวเท่ากันทุกท่อ ช่วยให้เสียงที่ได้มีความโดดเด่นกว่าเดิม ผลลัพธ์คือเสียงคำรามหนักแน่นของขุมพลัง V12 ที่สามารถดื่มด่ำได้จากภายในห้องโดยสาร และจะยิ่งชัดเจนมากขึ้นไปอีกเมื่อขับขี่โดยเปิดหลังคา 

การออกแบบ (DESIGN)ออกแบบโดย Ferrari Styling Centre ด้วยการใช้พื้นฐานจาก 812 Superfast… 812 GTS สะท้อนการออกแบบและสัดส่วนอันงดงามแห่งยนตรกรรมเครื่องยนต์ V12 วางด้านหน้า ของเฟอร์รารี่ ออกมาได้โดยไม่ต้องแก้ไขมิติตัวถังหรือส่งผลกระทบใดๆ ต่อพื้นที่และความสะดวกสบายในห้องโดยสาร ถ่ายทอดความสมบูรณ์แบบที่ผสมผสานได้อย่างลงตัวระหว่างความโฉบเฉี่ยวและความหรูหราสูงค่า ตัวถังด้านข้างของ 812 GTS แฝงความเท่ในแบบฉบับของรถท้ายลาด (Fastback) ดีไซน์แบบ      2-box และส่วนท้ายรถที่ยกสูง ชวนให้รำลึกถึงความยิ่งใหญ่ของ 365 GTB4 (Daytona) ปี 1968 ได้เป็นอย่างดี

เมื่อมองจากด้านข้าง ส่วนท้ายของรถดีไซน์ให้พับเว้าเพื่อให้ท้ายรถดูสั้นลง เพิ่มเส้นสายคมคายในส่วนลาดเอียงของตัวถัง พร้อมด้วยซุ้มล้อขนาดใหญ่สะท้อนให้เห็นความกำยำและดุดัน สง่างามตามแบบฉบับของสปอร์ตคาร์ขุมพลัง V12

ด้วยความที่เป็นเวอร์ชั่นเปิดประทุนของรุ่น 812 Superfast ส่วนท้ายของรถ ไม่ว่าจะเป็นหลังคา, ฝาท้าย ไปจนถึงห้องเก็บสัมภาระ จึงได้รับการออกแบบใหม่ โดยมีเป้าหมายให้เกิดเป็นยนตรกรรมที่หลอมรวมความงดงามและดุลยภาพเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน เสาหลังคาซึ่งภายในติดตั้งกลไกของชุดพับหลังคาเอาไว้ ได้รับการออกแบบให้แสดงถึงการขับเคลื่อนที่พุ่งไปด้านหน้า ทั้งยังส่งให้กระจกข้างของรุ่นเปิดประทุน ดูแตกต่างออกไปจากรุ่นหลังคาแข็งได้อย่างชัดเจน และเมื่อเปิดหลังคา ชิ้นส่วนของหลังคาก็จะถูกพับเก็บไว้ใต้ฝาครอบดังกล่าว

ด้วยความแตกต่างของตัวถัง จึงไม่มีช่องระบายอากาศบริเวณด้านบนหลังซุ้มล้อหลัง (ใกล้กับไฟท้าย) อันเป็นเอกลักษณ์ของ 812 Superfast แต่ก็ถูกทดแทนด้วยดิฟฟิวเซอร์ใต้กันชนหลังที่มีแผ่นบังคับลมเพิ่มขึ้น

นอกจากนั้น 812 GTS ใหม่ ยังมาพร้อมกับล้อฟอร์จน้ำหนักเบาที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยมีให้เลือก 3 สี คือ Diamond-Finish, Liquid Silver และ Grigio Scuro 

อากาศพลศาสตร์ (AERODYNAMICS) 812 GTS สร้างความท้าทายให้กับเหล่าดีไซเนอร์ของเฟอร์รารี่ถึง 2 ประการด้วยกัน คือ จะมั่นใจได้อย่างไรว่ารถจะมีเพอร์ฟอร์มานซ์เฉกเช่นเวอร์ชั่นคูเป้ในขณะขับขี่โดยปิดหลังคา และยังคงมอบสุนทรียภาพให้แก่ทุกคนในห้องโดยสารได้เช่นเดิม เมื่อเปิดหลังคา 

ในด้านของประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ ด้วยหลังคาและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องต่างๆ ของกลไกในการพับเก็บ จึงจำเป็นต้องแก้ไขส่วนท้ายของรถให้เหมาะสม ด้วยการเปลี่ยนรูปทรงของฝาครอบใหม่ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ปีกทั้ง 3 ชิ้นที่อยู่บนดิฟฟิวเซอร์กลางกันชนหลัง ซึ่งช่วยสร้างแรงดูด (ให้เกิดเป็นดาวน์ฟอร์ซ) จากใต้ท้องรถ ช่วยทดแทนดาวน์ฟอร์ซที่สูญเสียไปจากการไม่มีช่องระบายอากาศของซุ้มล้อหลังเหมือนกับใน 812 Superfast 

ในอีกด้านหนึ่ง แรงต้านถูกลดทอนลงจากการใช้ช่องระบายอากาศซึ่งอยู่ที่ส่วนท้ายของด้านข้างตัวถัง (เหนือซุ้มล้อหลัง) เพื่อระบายแรงดันที่เกิดขึ้นจากล้อหลังออกไป

ความพิถีพิถันในทุกรายละเอียดทำให้มั่นใจได้ถึงมาตรฐานความสะดวกสบายแม้ขณะขับขี่โดยเปิดหลังคา มีการใส่ใจอย่างยิ่งทั้งในเรื่องของการลดลมหมุนวนภายในห้องโดยสารและเสียงของอากาศ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้โดยสารสามารถสนทนาระหว่างกันได้โดยไม่ถูกรบกวนแม้ในความเร็วสูง

เช่นเดียวกับใน LaFerrari Aperta แผ่นขนาดเล็กทรงตัว L ซึ่งติดตั้งอยู่มุมด้านบนของกระจกหน้าทั้งสองฝั่ง ทำให้เกิดลมหมุน (Vortex) อย่างต่อเนื่องไปจนถึงบริเวณเหนือกระจกหลัง ช่วยลดแรงดันอากาศด้านหลังเบาะนั่งได้เป็นอย่างดี 

พื้นที่ตรงส่วนนี้ นักอากาศพลศาสตร์สร้างสรรค์ทางผ่านของอากาศขึ้นบริเวณส่วนหน้าของเสาหลังคาทั้งสองฝั่ง และเสริมด้วยครีบปรับทิศทางอากาศ ซึ่งจะแบ่งแยกการไหลของอากาศ ให้ออกไปยังฝากระโปรงท้าย ช่วยเสริมให้การระบายแรงดันออกจากห้องโดยสารทำได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยไล่อากาศไม่ให้หยุดนิ่ง ซึ่งเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพทางแอโรไดนามิกส์และการไหลของอากาศที่ราบรื่น

 

พลศาสตร์ยานยนต์ (VEHICLE DYNAMICS) จุดประสงค์ในการพัฒนา 812 GTS คือการคงไว้ซึ่งความรู้สึกอันตราตรึงใจของความเร็ว และสัมผัสถึงพลังที่ปลดปล่อยออกมาได้เช่นเดียวกับใน 812 Superfast ทั้งเรื่องของอัตราเร่ง, การตอบสนองที่ฉับไว ตลอดจนความคล่องตัวในการขับขี่ 812 GTS มีอุปกรณ์และระบบควบคุมเจเนอเรชั่นใหม่เช่นเดียวกับ 812 Superfast และนั่นรวมถึงแฮนด์ลิ่งที่ยอดเยี่ยมด้วย ระบบบังคับเลี้ยวแบบสปอร์ตควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS – Electric Power Steering) ซึ่งมีอยู่ในรถทุกรุ่นของ Ferrari ถูกนำมาใช้เพื่อดึงเอาศักยภาพของรถในด้านเพอร์ฟอร์มานซ์ออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยทำงานร่วมกับระบบควบคุมไดนามิกส์ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ รวมถึงระบบ SCC เวอร์ชั่น 5.0 สิทธิบัตรของเฟอร์รารี่ ด้วย นอกจากนั้นยังมีระบบ Virtual Short Wheelbase 2.0 (PCV) ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นโดยใช้พื้นฐานมาจากประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน นับตั้งแต่ที่นำมาใช้ครั้งแรกกับ F12tdf

นอกจากนั้น ยังมีระบบช่วยเหลือประสิทธิภาพสูงอีกมากมายสำหรับผู้ขับขี่ ประกอบด้วย;

- Ferrari Peak Performance (FPP): ในขณะกำลังเข้าโค้ง แรงหน่วงจากพวงมาลัยจะช่วยให้ผู้ขับขี่ทราบว่ารถกำลังเข้าใกล้ขีดจำกัดของการยึดเกาะถนน ช่วยให้ระบบควบคุมเสถียรภาพต่างๆ เริ่มทำงาน

- Ferrari Power Oversteer (FPO) - ในกรณีที่เกิดอาการท้ายปัด (Oversteer) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อเร่งออกจากโค้ง พวงมาลัยจะหน่วงกลับไปยังทิศทางที่ถูกต้องสอดคล้องกับทิศทางของรถ

- การปรับแต่งการหน่วงนำของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช็อคอับใหม่ ช่วยให้รถมีประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนเช่นเดียวกับเวอร์ชั่นหลังคาแข็ง แม้ตัวถังจะได้รับการเสริมความแข็งแกร่งจนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 75 กิโลกรัมก็ตาม

 

ด้วยเหตุนี้ สมรรถนะโดยรวมของรถจึงใกล้เคียงกับรุ่นหลังคาแข็ง ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ต่ำกว่า 3 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 8.3 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดของ Ferrari 812 GTS ก็เทียบเท่ากับรุ่นหลังคาแข็งที่ 340 กม./ชม.

 

บริการดูแลรักษา 7 ปี (7 YEARS MAINTENANCE)

มาตรฐานคุณภาพที่เหนือชั้นของเฟอร์รารี่ และการมุ่งเน้นที่การให้บริการลูกค้าเป็นหัวใจหลัก เฟอร์รารี่จึงมีโปรแกรมการบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นเป็น 7 ปี ให้กับผู้เป็นเจ้าของ Ferrari 812 GTS โปรแกรมนี้ครอบคลุมการบำรุงรักษาตามปกติทั้งหมดในช่วง 7 ปีแรกของรถเฟอร์รารี่ทุกรุ่น การบำรุงรักษาตามกำหนดเวลานี้เป็นบริการพิเศษที่ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่ารถจะมีประสิทธิภาพสูงสุดและมีความปลอดภัยอยู่เสมอ บริการพิเศษนี้มีให้สำหรับผู้ที่ซื้อเฟอร์รารี่มือสองด้วยเช่นกัน

การบำรุงรักษาปกติ (ตามระยะทาง 20,000 กม. หรือปีละครั้ง) อะไหล่แท้และการตรวจสอบอย่างพิถีพิถันโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมโดยตรงที่ศูนย์ฝึกอบรมเฟอร์รารี่ในเมืองมาราเนลโล โดยใช้เครื่องมือวินิจฉัยที่ทันสมัยที่สุด              ซึ่งบริการนี้มีให้สำหรับตัวแทนจำหน่ายเฟอร์รารี่อย่างเป็นทางการทั่วโลก 

นอกจากนี้ เฟอร์รารี่ยังมีโปรแกรม Genuine Maintenance ซึ่งจะขยายขอบเขตของบริการหลังการขายที่เสนอโดย    เฟอร์รารี่ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่ต้องการรักษาประสิทธิภาพและความเป็นเลิศ อันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ทุกคันที่สร้างขึ้นจากโรงงานในมาราเนลโล ด้วยเทคโนโลยีอันก้าวล้ำ

สามารถดาวน์โหลดภาพถ่ายของ Ferrari 812 GTS ได้จากมีเดียไซต์ของ Ferrari: www.media.ferrari.com

FERRARI 812 GTS

ข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค

เครื่องยนต์  

ประเภท V12 - 65°

ปริมาตรความจุ 6496 cc

กระบอกสูบxช่วงชัก 94x78 mm

แรงม้าสูงสุด* 588 kW (800 cv) at 8500 rpm

แรงบิดสูงสุด* 718 Nm at 7000 rpm

อัตราส่วนแรงม้าต่อลิตร 123 cv/l

รอบเครื่องยนต์สูงสุด 8900 rpm

อัตราส่วนกำลังอัด 13.6:1

มิติและน้ำหนัก

ความยาว 4693 mm

ความกว้าง 1971 mm

ความสูง 1276 mm

ความยาวฐานล้อ 2720 mm

ความกว้างฐานล้อหน้า 1672 mm

ความกว้างฐานล้อหลัง 1645 mm

น้ำหนักรถเปล่า** 1600 kg

อัตราส่วนการกระจายน้ำหนัก 47% ant - 53% post

ความจุห้องเก็บสัมภาระ 210 l

ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 92 l

ขนาดยางและล้อ  

หน้า 275/35 ZR 20” 10” J  

หลัง 315/35 ZR 20” 11.5” J

ระบบเบรก  

หน้า 398x223x38 mm

หลัง 360x233x32 mm

ระบบส่งกำลัง 7-speed dual-clutch gearbox  

ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ EPS, PCV 2.0, E-Diff3, F1-Trac, ABS/EBD 

prestazionale con Ferrari Pre-Fill, FrS SCM-E, 

SSC 5.0

สมรรถนะ  

0-100 km/h <3.0 sec

0-200 km/h 8.3 sec

Max. speed over 340 km/h

อัตราสิ้นเปลืองและมลพิษ

อยู่ภายใต้ข้อกำหนด

 

* ด้วยน้ำมันเบนซินออกเทน 98 และ Dynamic RAM, กำลังเครื่องยนต์แสดงในหน่วย kW (Kilowatt) ตามข้อตกลงของ International System of Units (SI) และในหน่วย CV (Cheveaux Vapeur) 1kW = 1.3596216 cv

** รวมอุปกรณ์สั่งติดตั้งพิเศษ

 

ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2