• 10 มิถุนายน 2019 at 17:04

Ferrari SF90 Stradale ซูเปอร์คาร์สายพันธ์ใหม่ของ

เฟอร์รารี่ม้าลำพองที่ทรงพลัง

ที่สุดเท่าที่เคยมีมาจาก Scuderia Ferrari

    เฟอร์รารี่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่อีกครั้งด้วยการเผยโฉม SF90 Stradale ยนตรกรรม PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ซีรี่ย์แรก  ที่ผ่านมา ณ เมืองมาราเนลโล ประเทศอิตาลี เฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุดคันนี้เปี่ยมไปด้วยความสุดยอดในทุกรายละเอียดด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพที่ไม่เคยมีในยนตรกรรมใดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น พละกำลัง 1,000 แรงม้า, อัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลังที่ 1.57 กก./แรงม้า และ Downforce 390 กก. ที่ความเร็ว 250 กม./ชม. เป็นต้น สมรรถนะเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ SF90 Stradale เป็นรถเฟอร์รารี่ที่ดีที่สุดในเซกเม้นต์ แต่ยังรวมถึงการเป็นรถขุมพลัง V8 รุ่นท็อปสุดในประวัติศาสตร์ของ Ferrari อีกด้วย สมญานามของรถคันนี้ บ่งบอกถึงนัยสำคัญของสมรรถนะได้อย่างครบถ้วน ตัวเลข “90” อ้างอิงถึงวันครบรอบ 90 ปีของการก่อตั้ง ScuderiaFerrari เป็นการตอกย้ำถึงสายสัมพันธ์อันแข็งแกร่งที่เชื่อมโยงระหว่างรถแข่งและรถนนของ Ferrari ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากนั้น SF90 Stradale ยังเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน ที่แสดงให้เห็นถึงการนำเอาความรู้และทักษะอันเชี่ยวชาญของแบรนด์ Ferrari ที่มีในสนามแข่ง ถ่ายทอดสู่รถยนต์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

        SF90 Stradale มาพร้อมกับขุมพลัง V8 ทำมุม 90 องศา ให้กำลังสูงสุด780แรงม้า นับเป็นเครื่องยนต์ V8 ที่ทำแรงม้าได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Ferrari ส่วนพละกำลังอีก 220 แรงม้าที่เหลือ ได้มาจากมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวด้วยกัน โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าที่รู้จักกันในนาม MGUK (Motor Generator Unit, Kinetic) ซึ่งได้รับการสืบทอดมาจากรถแข่ง F1 ติดตั้งไว้ที่ท้ายรถ ในตำแหน่งกลางระหว่างเครื่องยนต์และชุดเกียร์ 8 สปีด คัลทช์คู่ แบบใหม่ล่าสุด ในขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าอีก 2 ตัว ติดตั้งไว้ที่เพลาล้อหน้า แม้ระบบจะมีความซับซ้อนมากขึ้น แต่การขับขี่ได้ถูกออกแบบให้ใช้งานได้ง่าย ด้วยโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือกถึง 4 โหมด นอกจากนี้ SF90 Stradale ยังเป็นสปอร์ตคาร์คันแรกของ Ferrari ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยถ่ายทอดพละกำลังมหาศาลของขุมพลังไฮบริดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จนได้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อันน่าทึ่งที่ 2.5 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.7 วินาที

       ด้วยการใช้พลังไฟฟ้าที่เรียกว่า RAC-e ในการขับเคลื่อนเพลาคู่หน้า วิศวกรของ Ferrari จึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมรถได้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสองตัวนี้ จะทำงานแยกกันอย่างอิสระ ซ้าย-ขวา ในการควบคุมแรงบิดที่ถูกส่งไปยังล้อทั้งสองและจากการใช้ระบบการกระจายแรงบิด RAC-e ช่วยให้การขับขี่ขณะใช้สมรรถนะของรถอย่างเต็มพิกัด สามารถควบคุมได้ง่ายดายยิ่งขึ้นความท้าทายในการสร้างสถาปัตยกรรมยานยนต์ไฮบริดคันนี้ก็คือการบริหารจัดการน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า

    โดยมุ่งไปที่การพัฒนาตั้งแต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆไปจนถึงภาพรวมทั้งหมดของตัวรถและเพื่อให้ได้มาซึ่งสมรรถนะสูงสุดทั้งในด้านของน้ำหนักโดยรวม,ความแข็งแกร่งและจุดศูนย์ถ่วงของรถโครงสร้างและชิ้นส่วนตัวถังของSF90 Stradale จึงเป็นแบบใหม่ทั้งหมดสร้างขึ้นโดยใช้วัสดุที่ได้มาจากเทคโนโลยีอันล้ำสมัยรวมถึงคาร์บอนไฟเบอร์

       การพัฒนายนตรกรรมไฮบริดสมรรถนะสูงเช่นนี้ จำเป็นต้องใช้นวัตกรรมทางด้านอากาศพลศาสตร์ร่วมด้วย การเพิ่มพลังขับเคลื่อนอันมหาศาลเข้าไป นำมาซึ่งปริมาณความร้อนที่มากขึ้นตามไปด้วยส่งให้ต้องพัฒนาระบบการไหลเวียนมวลอากาศอย่างเจาะลึก รวมถึงต้องหาทางออกใหม่ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพดาวน์ฟอร์ซ เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้สมรรถนะการทรงตัวสูงสุดในทุกย่านความเร็วและทุกสภาพการขับขี่ นวัตกรรมที่เป็นจุดเด่นอย่างยิ่งก็คือสปอยเลอร์ขนาดเล็กแบบเปิดปิดได้ (Shut-off Gurney) ระบบแบบแอคทีฟนี้ติดตั้งไว้ที่ส่วนท้ายของรถ เพื่อควบคุมการไหลของอากาศบริเวณส่วนบนของตัวถังช่วยลดแรงต้านที่ความเร็วสูงและเพิ่มดาวน์ฟอร์ซทั้งในขณะเข้าโค้ง, เบรค และระหว่างที่ตัวรถเปลี่ยนทิศทางไปมา แทนที่จะนำแรงบันดาลใจมาจากซูเปอร์คาร์รุ่นก่อนๆ ของ Ferrari อย่างเช่นจากครั้งที่เคยสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับการออกแบบ 360 Modena รถสปอร์ตหลังคาแข็งเครื่องยนต์วางกลางลำเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ยนตรกรรมรุ่นใหม่คันนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนสไตล์ใหม่หมด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือภายในห้องโดยสาร ซึ่งมีพื้นที่ด้านหน้ากะทัดรัดขึ้นและจัดวางไว้ใกล้กับส่วนหน้ารถมากขึ้นเพื่อลดแรงต้านอากาศโดยไม่มีผลกระทบใดๆต่อความกว้างขวางสะดวกสบายในห้องโดยสารปรัชญา “eyes on the road, hands on the wheel” ที่ได้รับการสืบทอดมาจากสนามแข่ง ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกใน SF90 Stradale เพื่อรวมหลักสรีระศาสตร์และสไตล์ที่โดดเด่นของห้องโดยสารเข้าไว้ด้วยกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ HMI (Human-Machine Interface) และรูปแบบการจัดวางห้องโดยสารที่แตกต่างจากรถทุกรุ่นที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง อีกนวัตกรรมสำคัญก็คือพวงมาลัยซึ่งมาพร้อมกับ Touchpad และปุ่มแบบสัมผัสที่จะช่วยให้ผู้ขับควบคุมแทบทุกระบบของรถได้เพียงปลายนิ้ว หน้าจอแสดงการทำงานเป็นแบบดิจิตอลทั้งหมด และเป็นครั้งแรกของโลกยนตรกรรมที่มีการนำ “จอโค้ง” ขนาด 16 นิ้ว แบบความคมชัดสูงมาใช้ โดยผู้ขับสามารถปรับและควบคุมได้จากชุดควบคุมที่ติดตั้งบนพวงมาลัย

คอนโซลกลางพัฒนาให้เหมาะกับสรีระและมาพร้อมกับองค์ประกอบที่นำมาจากอดีตอันน่าจดจำ นั่นคือชุดควบคุมการทำงานของเกียร์ที่เป็นแบบ Grille-style ซึ่งเคยใช้กับรถเกียร์ธรรมดาอันโด่งดังในตำนานของ Ferrari หลายๆ รุ่น กำเนิดเป็นการพบกันของอดีตและปัจจุบัน ที่มุ่งไปสู่อนาคต

        ไม่เพียงแค่นั้น SF90 Stradale ยังเป็นรถรุ่นแรกของ Ferrari ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Keyless เต็มรูปแบบ และมีชื่อเฉพาะสำหรับแต่ละรุ่น ก่อนที่ระบบนี้จะถูกนำมาใช้กับรถรุ่นอื่นๆ ต่อไป โดยช่องเสียบรีโมทที่ออกแบบมาเป็นพิเศษช่วยให้กุญแจดูเป็นส่วนหนึ่งกับรถมากขึ้นนอกจากการตกแต่งรถด้วยโลโก้ม้าลำพองทรงเหลี่ยมและสีเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari ในรูปแบบสปอร์ตแล้ว SF90 Stradale ยังมีเวอร์ชั่นโลโก้ม้าลำพองที่ตกแต่งด้วยสีเหล็ก ที่ให้สัมผัสหรูหราอีกด้วยและเป็นครั้งแรกของ Ferrari ที่ผู้เป็นเจ้าของสามารถเลือกระหว่างรุ่นสแตนดาร์ดและรุ่นที่มีสเปคแบบสปอร์ตยิ่งขึ้น โดยสเปค “Assetto Fiorano” มาพร้อมกับช่วงล่างแบบพิเศษ Multimatic ที่พัฒนามาจากรถแข่ง และชิ้นส่วนน้ำหนักเบาซึ่งผลิตจากวัสดุระดับพรีเมี่ยม อาทิ คาร์บอนไฟเบอร์ (แผงประตู และแผ่นปิดใต้ท้องรถ) และไทเทเนียม (สปริง และท่อไอเสียทั้งหมด) ช่วยลดน้ำหนักลงได้อีกถึง 30 กก. อีกหนึ่งความแตกต่างคือสปอยเลอร์ท้ายที่ให้ Downforce สูงขึ้น สามารถสร้างแรงกดได้ 390 กก. ที่ความเร็ว 250 กม./ชม. และสเปค Assetto Fiorano ยังมาพร้อมกับยาง Michelin Pilot Sport Cup2 ที่ออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะบนถนนแห้ง ทั้งยังมีเนื้อยางที่นิ่มและมีพื้นที่สัมผัสกับถนนมากกว่ายางสแตนดาร์ดอีกด้วย

        ระบบส่งกำลัง (POWERTRAIN)SF90 Stradale คือรถรุ่นแรกของเฟอร์รารี่ ที่เป็นรถ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ซึ่งใช้เครื่องยนต์แบบสันดาปภายในทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดย 2 ตัว ติดตั้งไว้ที่เพลาขับหน้าฝั่งละ 1 ตัว (ซ้าย-ขวา) และทำงานแยกอิสระจากกัน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าตัวที่สามคั่นอยู่ระหว่างเครื่องยนต์และชุดเกียร์ที่เพลาหลังเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันเพื่อสร้างพละกำลังอันน่าทึ่งที่ 1,000 แรงม้า นั่นหมายถึง SF90 Stradale ไม่เพียงสร้างมาตรฐานใหม่แห่งสมรรถนะและนวัตกรรมให้กับ Ferrari เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคู่แข่งรายอื่นๆ ด้วย เครื่องยนต์สันดาปภายใน (INTERNAL COMBUSTION ENGINE)ขุมพลัง V8 เทอร์โบ 780 แรงม้า ที่อยู่ใน SF90 Stradale ยกระดับของขีดจำกัดแห่งสมรรถนะขึ้นไปอีกขั้น จุดเริ่มต้นนั้นมาจากเครื่องยนต์ตระกูล F154 ซึ่งได้รับรางวัล International Engine of the Year ถึง 4 ปีซ้อน ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อน 

สิ่งที่มาพร้อมกับพลัง 195 แรงม้า/ลิตร ซึ่งเป็นอัตราส่วนสูงที่สุดในเซกเม้นต์นี้ คือแรงบิดมหาศาลถึง 800 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที และเพื่อการปลดปล่อยผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดานี้ วิศวกรของเฟอร์รารี่จึงมุ่งความสนใจเป็นพิเศษไปยังส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ เริ่มจากการเพิ่มความจุจาก 3,902 ซีซี. เป็น 3,990 ซีซี. จากการขยายขนาดกระบอกสูบเป็น 88 มม. ระบบไอดีและไอเสียได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ทั้งยังเป็นครั้งแรกของขุมพลัง V8 ที่ใช้ฝาสูบแบบใหม่ซึ่งมีขนาดเล็กลงพร้อมหัวฉีดที่ติดตั้งไว้ตรงกลางที่สร้างแรงดันได้ถึง 350 บาร์

 

        เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนอากาศในเครื่องยนต์ จึงไม่ใช่เพียงแค่การใช้วาล์วไอดีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการใช้ท่อนำอากาศแนวนอนติดตั้งไว้ส่วนบนสุดของเครื่องยนต์ เทอร์โบอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำลงในขณะที่ท่อทางเดินไอเสียออกแบบให้อยู่สูงขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับปลายท่อไอเสียที่อยู่บริเวณส่วนบนของกันชนหลัง ตัวเทอร์โบทำงานร่วมกับ Wastegate (วาล์วระบบแรงดันไอเสียส่วนเกินของเทอร์โบ เมื่อได้แรงบูสต์ตามที่กำหนดไว้แล้ว) แบบควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์เพื่อช่วยเพิ่มความร้อนให้กับตัวกรองไอเสียและใช้คอมเพรสเซอร์ทรงก้นหอยแบบใหม่ ที่ให้ประสิทธิภาพการดูดอากาศได้ดีกว่าเดิมไม่เพียงแค่การปรับปรุงการไหลเวียนอากาศเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการลดจุดศูนย์ถ่วงด้วยการใช้ฟลายวีลที่มีขนาดเล็กกว่าเดิม เพื่อจัดวางเครื่องยนต์ได้ต่ำลง ทั้งยังลดน้ำหนักรวมของเครื่องยนต์ลงด้วยใช้การท่อร่วมไอเสียที่ผลิตจากวัสดุ Inconel แทนโลหะ นอกจากนั้น ชุดท่อไอเสียยังได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้ได้เสียงที่หนักแน่น, ไพเราะ ในทุกความเร็วรอบเครื่องอีกด้วย

 เกียร์บล็อกซ์ (GEARBOX) SF90 Stradale ใช้เกียร์แบบ 8 สปีด คลัทช์คู่ ที่ได้รับการออกแบบขึ้นมาใหม่หมด อัตราทดเกียร์ใหม่ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นเมื่อขับใช้งานในเมืองและบนมอเตอร์เวย์ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสมรรถนะของรถ การใช้ระบบ Dry Sump และมีชุดคลัทช์ขนาดกะทัดรัดกว่าเดิม ช่วยให้ชุดเกียร์มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมถึง 20% และยังมีความสูงลดลง 15 มม. เมื่อติดตั้งเข้าไปในรถ ส่งผลให้มีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำกว่าเดิมตามไปด้วย

แม้จะมีการเพิ่มเกียร์เป็น 8 สปีด และมีแรงบิดสูงสุดถึง 900 นิวตันเมตร แต่ชุดเกียร์ก็มีน้ำหนักเบากว่าเดิม 7 กก. บวกด้วยน้ำหนักของเกียร์ถอยหลังซึ่งติดตั้งไว้กับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าอีก 3 กก. ชุดคลัทช์แบบใหม่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากเดิม 35% สามารถรับแรงบิดได้ถึง 1,200 นิวตันเมตร และระบบไฮดรอลิกรุ่นใหม่ยังช่วยให้คลัทช์สามารถ ตัด-ต่อ การทำงานได้ในเวลาเพียง 200 มิลลิวินาที เทียบกับ 300 มิลลิวินาทีในเกียร์ของ 488 Pista 

เครื่องยนต์ไฟฟ้า (ELECTRIC MOTORS) SF90 Stradale ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว เพื่อสร้างพละกำลัง 220 แรงม้า (162 กิโลวัตต์) ใช้แบตเตอรี่                    ลิเธียม-ไอออน ประสิทธิภาพสูงในการจ่ายพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสาม และสามารถขับใช้งานเฉพาะไฟฟ้าอย่างเดียวโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้า ในโหมด eDrive ได้ประมาณ 25 กม. และทำความเร็วสูงสุดได้ 135 กม./ชม. ด้วยแรง G ที่ราว 0.4G เกียร์ถอยหลังสามารถใช้ได้เฉพาะในโหมด eDrive นั่นหมายถึง รถสามารถเคลื่อนที่ในความเร็วต่ำได้โดยไม่จำเป็นต้องติดเครื่องยนต์สันดาปภายใน นอกจากนั้น มอเตอร์คู่หน้ายังถูกใช้ร่วมกับระบบ Launch Control เพื่อเพิ่มสมรรถนะให้กับอัตราเร่งอีกด้วย

โหมดการใช้งาน (FUNCTION MODES) เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมดทำงานร่วมกันเพื่อสร้างพลังระดับ 1,000 แรงม้า ทำให้ SF90 Stradale มีสมรรถนะสูงสุดในรถประเภทเดียวกัน ระบบควบคุมการทำงานจะช่วยบริหารจัดการการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับที่ผู้ขับเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นอัตราสิ้นเปลืองหรือสมรรถนะ ต้องขอบคุณสวิตช์ eManettino (คล้ายกับสวิตช์ Manettino ซึ่งใช้เลือกโหมดการขับขี่ ซึ่งติดตั้งในรถรุ่นอื่นๆ ของ Ferrari) ที่ช่วยให้ผู้ขับสามารถเลือกแหล่งพลังงานได้แตกต่างกัน 4 โหมด คือ

eDrive: เครื่องยนต์จะไม่ถูกใช้งาน และจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าของล้อหน้าเท่านั้น เมื่อเริ่มขับด้วยแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟเต็ม รถจะสามารถใช้งานได้เป็นระยะทางประมาณ 25 กม. ในโหมดนี้เหมาะสำหรับขับในเมืองหรือในขณะที่ผู้ขับไม่ต้องการให้เกิดเสียงการทำงานจากเครื่องยนต์ V8

Hybrid: นี่คือโหมดเริ่มต้นเมื่อใช้รถ ซึ่งพลังงานจะถูกบริหารให้ได้ความประหยัดสูงสุด ระบบควบคุมอัตโนมัติจะคอยตัดสินใจว่าจะติดหรือดับเครื่องยนต์ ในกรณีที่ติดเครื่อง ขุมพลัง V8 จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อมอบสมรรถนะอันทรงพลังได้ทันทีที่ผู้ขับต้องการ

Performance: ในโหมดนี้เครื่องยนต์จะทำงานอย่างต่อเนื่อง จุดประสงค์เพื่อชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่มากกว่าเน้นเรื่องความประหยัด สิ่งนี้ช่วยรับประกันว่าจะมีพลังทั้งหมดให้ใช้ได้ทันทีที่ต้องการ โหมดนี้เหมาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการความสนุกในการขับขี่ Qualify: โหมดนี้จะสั่งงานให้มอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 3 ตัว ปล่อยพลังงานสูงสุดทั้ง 220 แรงม้าออกมา (ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์) ระบบควบคุมจะเน้นไปที่สมรรถนะมากกว่าการชาร์จแบตเตอรี่

พลศาสตร์ยานยนต์ (VEHICLE DYNAMICS)

ความยอดเยี่ยมของพละกำลังที่ทำได้คงไร้ประโยชน์หากไม่มีการวิจัยและพัฒนาอย่างลงลึกในเรื่องของไดนามิกส์ เพื่อให้ SF90 Stradale ทำเวลาต่อรอบในสนามได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังรับประกันได้ว่าผู้ขับทุกคนจะสามารถนำประสิทธิภาพสูงสุดของรถมาใช้ได้ทั้งหมด และด้วยความสนุกเร้าใจ

สถาปัตยกรรมไฮบริดรุ่นใหม่ จำเป็นต้องทำงานร่วมกับการควบคุมหลากหลายรูปแบบ โดยมี 3 ส่วนหลักๆ ที่เกี่ยวข้อง คือ ระบบควบคุมไฟฟ้าแรงดันสูง (แบตเตอรี่, RAC-e, MGUK, Inverter), ระบบควบคุมเครื่องยนต์กับชุดเกียร์ และระบบควบคุมไดนามิกส์ของรถยนต์ (การยึดเกาะ, เบรค และ Torque Vectoring) การรวมระบบควบคุมทั้ง 3 ส่วนนี้ เข้ากับการทำงานของระบบควบคุมเดิมที่มีอยู่แล้ว นำไปสู่การพัฒนาระบบ eSSC (electronics Side Slip Control) ขึ้นใหม่ จนได้นวัตกรรมระบบควบคุมการขับขี่ 3 รูปแบบ ซึ่งช่วยให้สามารถกระจายแรงบิดของเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้งสี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ 

Electric Traction Control (eTC): จัดการแรงบิดอย่างเหมาะสม ทั้งจากเครื่องยนต์และไฟฟ้าโดยกระจายไปยังแต่ละล้อให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่และการยึดเกาะถนน Brake-by-wire control with ABS/EBD: แยกแรงที่เกิดจากการเบรคของระบบไฮดรอลิกส์ออกจากแรงเบรคที่เกิดจากมอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยให้ประสิทธิภาพของระบบเบรคดีขึ้นและให้สัมผัสที่ดีกว่าเดิม 

Torque Vectoring: ทำงานที่เพลาหน้าเพื่อแบ่งถ่ายแรงบิดที่ได้จากมอเตอร์ไฟฟ้าในขณะที่รถกำลังเข้าโค้ง เพื่อให้รถมีประสิทธิภาพการยึดเกาะสูงสุดและช่วยให้ควบคุมรถได้ง่ายดาย, มั่นใจ เมื่อขับขี่ด้วยความเร็ว

 พลศาสตร์แนวตรง (LONGITUDINAL DYNAMICS) ระบบ RAC-e และ eTC ที่ล้อทั้งสี่ ช่วยเพิ่มการยึดเกาะให้กับล้อคู่หน้าขณะเร่งเครื่อง เมื่อรวมกับพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าแม้ขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของอัตราเร่งใน SF90 STRADALE ส่งให้มันเป็นรถที่มีสมรรถนะสูงตั้งแต่เริ่มออกตัว แม้ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงและในเกียร์สูง การเข้ามาร่วมทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมการยึดเกาะสูงยังช่วยลดเวลาในการตอบสนองของเครื่องยนต์สันดาปภายในให้น้อยลง ส่งให้อัตราเร่งดีขึ้นตามไปด้วย

ระบบ Brake-by-wire แบบใหม่ จะกู้คืนพลังงานจลน์ผ่านมอเตอร์ไฟฟ้า โดยผสานการเบรกด้วยไฮดรอลิกและการเบรกด้วยไฟฟ้า ผ่านการควบคุมจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยในสภาวะการเบรคปกติ ระบบจะเบรคด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และจะใช้ไฮดรอลิกส์เข้ามาช่วยในกรณีที่ต้องใช้แรงเบรกมากเป็นพิเศษ 

 พลศาสตร์แนวขวาง (LATERAL DYNAMICS)  การทำงานของระบบ eSSC ยังรวมถึงการควบคุมแรงบิดระหว่างล้อคู่หน้า โดยใช้มอเตอร์ของระบบ RAC-e และระบบควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์จาก Torque Vectoring ในการแปรผันแรงระหว่างล้อหน้าฝั่งในและนอกโค้ง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแวดล้อม เพื่อให้ได้มาซึ่งสมรรถนะสูงสุดและยังง่ายต่อการควบคุมรถอีกด้วย

 ตัวถังแชสซี (CHASSIS) แม้มีน้ำหนักเพิ่มเข้ามาอีก 270 กก. จากการใช้ระบบไฮบริด แต่ก็ได้รับการชดเชยด้วยพละกำลังที่มอเตอร์ไฟฟ้าผลิตได้ (220 แรงม้า, อัตราส่วน น้ำหนัก/แรงม้า ของระบบไฮบริดอยู่ที่ 1.23 กก./แรงม้า) อย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงลึกยังคงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำหนักโดยรวมของรถจะยังคงอยู่ที่ 1,570 กก. สำหรับการรับประกันว่าจะทำให้รถทำลายสถิติอัตราส่วน น้ำหนัก/แรงม้า ที่ 1.57 กก./แรงม้า ได้

 แชสซีส์ได้รับการออกแบบใหม่หมด พร้อมด้วยการใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่หลากหลาย เพื่อรองรับขุมพลังไฮบริดและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ มีการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ๆ จำนวนมาก ไม่เพียงแค่การขึ้นรูปแบบกลวงแทนที่การขึ้นรูปแบบดั้งเดิมเท่านั้นแต่ยังรวมถึงผนังกั้นระหว่างห้องโดยสารกับห้องเครื่องยนต์ที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งชิ้น และอลูมิเนียมอัลลอยความแข็งแกร่งสูงในบางชิ้นส่วนที่เป็นแผ่นโลหะ ผลลัพธ์ที่ได้คือ แชสซีส์ของ SF90 Stradale  ทนต่อการบิดงอได้เพิ่มขึ้น 20% และแข็งแกร่งขึ้น 40% เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มรุ่นเก่า โดยมีน้ำหนักคงเดิม นอกจากนั้น เสียงรบกวนและแรงสั่นสะเทือน ยังได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นด้วยการใช้อัลลอยแบบใหม่ที่เรียกว่า“อลูมิเนียมไร้เสียง”(Quiet Aluminium) ที่พื้นรถอีกด้วย

อากาศพลศาสตร์(AERODYNAMICS)ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการรังสรรค์แอโรไดนามิกส์ให้กับ SF90 Stradale เกิดจากความต้องการที่จะทำให้รถมีดาวน์ฟอร์ซและประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ในขณะเดียวกันก็ต้องรับประกันได้ว่าระบบย่อยทั้งหมดของแหล่งพลังงานใหม่ (เครื่องยนต์สันดาปภายใน,มอเตอร์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่และอินเวอร์เตอร์) จะทำงานได้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

และเหมือนเช่นเคย... แผนกอากาศพลศาสตร์ทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมออกแบบของ Ferrari และความร่วมมือนี้ทำให้เกิดดาวน์ฟอร์ซและประสิทธิภาพที่ไม่มีรถคันใดในเซกเม้นต์เดียวกันจะเทียบชั้นได้ นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกเขาประสบความสำเร็จภายใต้แบบฉบับเฉพาะตัวของ Ferrari นั่นคือ “ตัวรถได้รับการปั้นแต่งขึ้นอย่างพิถีพิถัน แทนที่จะใช้การเพิ่มอุปกรณ์ง่ายๆ เข้าไป”

ผลลัพธ์ในแง่ของประสิทธิภาพนั้นน่าประทับใจแน่นอน... เนื่องจากความสามารถในการสร้างดาวน์ฟอร์ซได้ถึง 390 กก. ที่ความเร็ว 250 กม. / ชม. SF90 Stradale จึงสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับประสิทธิภาพของรถยนต์สมรรถนะสูง

หลักอากาศพลศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงตามความร้อน(THERMAL AERODYNAMICS)การจัดการกับการระบายความร้อนอย่างชาญฉลาดคือก้าวแรกของความสำเร็จในการจัดวางเลย์เอาท์ของรถ และในกรณีนี้ มั่นใจได้เลยว่าได้ว่าทั้ง 1,000 แรงม้า จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลดปล่อยพลังงานออกมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยในทุกสภาพการขับขี่โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพของอากาศพลศาสตร์ เครื่องยนต์ ชุดเกียร์ เทอร์โบ แบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้า ตลอดจนอินเวอร์เตอร์และระบบชาร์จไฟ ทั้งหมดนี้ล้วนต้องการการระบายความร้อน ส่วนที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษคือห้องเครื่อง ซึ่งมีทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในที่สร้างความร้อนได้ถึง 900 องศา และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไวต่ออุณหภูมิสูงๆ ระบบหล่อเย็นของเครื่องยนต์สันดาปภายในและชุดเกียร์(ซึ่งเป็นระบบปิดที่มีอุณหภูมิสูง) ได้รับการลดความร้อนลงโดยใช้แผงระบายความร้อนที่ติดตั้งไว้ด้านหน้าของล้อคู่หน้าอากาศร้อนที่ออกจากแผงระบายจะถูกลำเลียงเข้าไปยังด้านข้างของใต้ท้องรถ แทนที่จะระบายออกไปตามด้านข้างของตัวถัง นั่นหมายถึงอากาศที่ไหลอยู่ตลอดแนวของด้านข้างตัวรถจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าเมื่อเข้าสู่ท่อรับอากาศที่อยู่ก่อนถึงล้อหลัง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนให้กับอินเตอร์คูลเลอร์ได้ดียิ่งขึ้น

มอเตอร์ไฟฟ้าและอินเวอร์เตอร์ ใช้ระบบระบายความร้อนแยกจากกัน โดยแผงระบายความร้อนของแต่ละระบบถูกติดตั้งไว้ด้านหน้ารถ พร้อมด้วยท่อรับอากาศที่กลางกันชนหน้า สุดท้ายคือ ระบบระบายความร้อนสำหรับเบรค ที่ออกแบบให้ตรงตามสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นของรถเฟอร์รารี่ ได้พัฒนาคาลิเปอร์เบรคหน้าขึ้นใหม่ ด้วยการร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ Brembo และมีการนำมาใช้กับรถถนนเป็นครั้งแรก ตัวคาลิเปอร์มีรูปทรงแอโรไดนามิกส์เพื่อช่วยดึงอากาศที่ไหลมาจากปล่องดูดอากาศใต้ไฟหน้าเข้ามาระบายความร้อนให้กับผ้าเบรคและดิสก์ได้โดยตรง ส่วนเบรคหลังรับอากาศจากช่องรับลมที่อยู่ใกล้กับล้อคู่หลังใต้ท้องรถ มาระบายความร้อน หลักอากาศพลศาตร์ส่วนหลังรถ (REAR AERODYNAMICS) ฝาท้ายที่ครอบห้องเครื่องยนต์ของ SF90 Stradale ได้รับการออกแบบให้ต่ำเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มความสอดประสานระหว่างการไหลของอากาศที่ด้านบนและใต้ท้องรถ ทั้งยังช่วยลดแรงต้านอีกด้วย ส่วนปลายสุดของฝากระโปรงท้าย ติดตั้งสปอยเลอร์ที่แยกออกเป็นสองส่วน ชิ้นหนึ่งติดตั้งแบบตายตัวพร้อมไฟเบรคดวงที่สาม อีกชิ้นเป็นแบบขยับได้พร้อมกับพื้นที่ส่วนหน้าทรงลิ่ม นี่คืออุปกรณ์สำหรับบริหารจัดการดาวน์ฟอร์ซที่เป็นนวัตกรรมอันรุดหน้าที่สุด

ขณะใช้งานในเมืองหรือที่ความเร็วสูงสุด ทั้งสองส่วนจะอยู่ในระนาบเดียวกันและติดตั้งลอยตัวอยู่เหนือฝาท้าย โดยชิ้นที่ขยับได้จะทำหน้าที่บังชิ้นที่ติดตั้งตายตัว ช่วยให้อากาศไหลผ่านได้ทั้งด้านบนและด้านล่างของสปอยเลอร์ในสภาวะที่ต้องการดาวน์ฟอร์ซสูง (เช่น ขณะเข้าโค้ง, เบรค หรือเปลี่ยนทิศทางอย่างทันทีทันใด) ชิ้นที่ขยับได้จะลดระดับต่ำลงเพื่อกันพื้นที่ส่วนล่างและเปิดให้อากาศวิ่งเข้าหาสปอยเลอร์ชิ้นที่ติดตั้งตายตัว เพิ่มพื้นที่รับอากาศได้มากขึ้น

ระบบจะทำงานโดยตรรกะการควบคุมขั้นสูงซึ่งจะตรวจสอบความเร็ว, อัตราเร่ง และคำสั่งจากผู้ขับ หลายร้อยครั้งในหนึ่งวินาที เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

หลักอากาศพลศาตร์ส่วนหน้ารถ (FRONT AERODYNAMICS) ดาวน์ฟอร์ซด้านท้ายรถถูกถ่วงสมดุลด้วยตัวสร้างลมหมุนอันสลับซับซ้อนที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสม แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ของสปอร์ตคาร์จากเฟอร์รารี่ ทว่าระบบก็ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ SF90 Stradale มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนหน้าของแชสซีส์ถูกยกสูงขึ้น 15 มม. เมื่อเทียบกับส่วนกลางของแชสซีส์ในจุดที่ติดตั้งตัวสร้างลมหมุน ช่วยเพิ่มปริมาณอากาศให้วิ่งเข้าหาได้มากขึ้น เพื่อให้เกิดเอฟเฟคท์มากกว่าเดิม

กันชนหน้าถูกแยกออกเป็นสองส่วนและติดตั้งปีกที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ระหว่างส่วนบนและฝากระโปรงออกแบบให้มีส่วนที่เยื้องออกมาเพื่อบีบอัดอากาศที่ไหลผ่านทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกับกับดิฟฟิวเซอร์ที่อยู่ก่อนถึงล้อหน้าเพื่อสร้างดาวน์ฟอร์ซให้กับเพลาหน้าล้อฟอร์จแบบเป่าลมระบายความร้อน (FORGED WHEELS WITH BLOWN GEOMETRY) 

รูปทรงของล้อที่ผลิตด้วยกรรมวิธีฟอร์จได้รับการวิจัยทางด้านอากาศพลศาสตร์เป็นพิเศษ ผลิตขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีทางด้านโครงสร้างที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านแอโรไดนามิกส์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด รูปทรงเฉพาะตัวของล้อทั้งสี่ประกอบด้วยส่วนที่เป็นแฉกบริเวณด้านนอกที่มีระยะห่างเท่าๆ กันในทุกๆ ก้านล้อ และออกแบบให้ทำหน้าที่เหมือนใบพัดซึ่งให้ประสิทธิภาพอย่างมากในการจัดเรียงการไหลของอากาศด้านในซุ้มล้อ ทั้งยังส่งผลดีสองส่วนหลักๆ คือ

- เพิ่มการระบายอากาศออกจากซุ้มล้อ และสร้างแรงดูดซึ่งส่งผลดีต่อการไหลของอากาศที่ผ่านมาจากดิฟฟิวเซอร์ด้านหน้า จึงสร้างดาวน์ฟอร์ซได้มากยิ่งขึ้น

- อากาศที่ออกมาจากล้อ จะไหลเรียงตามแนวยาวไปตลอดด้านข้างของตัวรถ ช่วยลดลมเบี่ยงเบนที่เกิดจากมวลอากาศซึ่งออกมาจากมุมหนึ่งไปกระทำกับทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ จึงช่วยลดแรงเสียดทานลงได้อีกทางหนึ่ง

 การออกแบบ (DESIGN)SF90 Stradale คือยนตรกรรมที่ล้ำหน้าที่สุดทั้งในด้านสมรรถนะและเทคโนโลยี คำจำกัดความของการออกแบบตัวรถนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลักการ เพื่อสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ที่รุดหน้าและเป็นนวัตกรรมการออกแบบซึ่งส่งต่อความเป็นสปอร์ตคาร์ที่สุดขั้ว 

Ferrari Design เติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับด้านหน้า, กลาง และท้ายรถ ตามวิถีทางแห่งการพัฒนาอันลึกซึ้งตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีในการสร้างรถยนต์ Ferrari เครื่องยนต์วางกลางลำ

จุดมุ่งหมายคือการออกแบบรถสุดล้ำที่สามารถมอบประสิทธิภาพซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของรถยนต์จากค่ายม้าลำพอง SF90 Stradale อยู่คั่นกลางระหว่างรถคูเป้เครื่องกลางลำในปัจจุบันอย่าง F8 Tributo และซูเปอร์คาร์อย่าง LaFerrari ทั้งยังเป็นผู้กุมมาตรฐานของยนตรกรรมที่มีเทคโนโลยีสุดขั้วที่มาพร้อมกับรูปโฉมแห่งอนาคต

การออกแบบภายนอก (EXTERIOR) 

สถาปัตยกรรมของ SF90 Stradale ประกอบด้วยห้องโดยสารซึ่งจัดวางไว้ก่อนถึงเครื่องยนต์ที่ติดตั้งไว้กลางตัวรถ เอื้อให้ Flavio Manzoni และทีมออกแบบของเขาที่ Ferrari Style Centre ได้มีโอกาสแสดงฝีมือรังสรรค์ซูเปอร์คาร์ขนานแท้ตามรูปแบบที่สมบูรณ์ลงตัว 

โอเวอร์แฮงก์ที่สั้นลง (ด้านหลังสั้นกว่าด้านหน้า) และห้องโดยสารที่เยื้องมาด้านหน้า เน้นย้ำให้เห็นถึงความเป็นรถยนต์เครื่องวางกลางลำ จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำเป็นพิเศษเอื้ออำนวยให้ผู้ออกแบบสามารถจัดวางพื้นที่ห้องโดยสารได้ต่ำลงอีก 20 มม. เมื่อผนวกเข้ากับกระจกหน้าที่มีความโค้งมากขึ้น, เสา A ที่บางเฉียบ และฐานล้อกว้าง จึงกำเนิดเป็นยนตรกรรมที่มีรูปโฉมสละสลวยงดงาม

ห้องโดยสารทรงกลมขนาดกะทัดรัด มีดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงค็อกพิทของเครื่องบิน และข้อเท็จจริงก็คือ มันได้รับการจัดวางเยื้องมาทางด้านหน้า ทั้งยังเน้นให้เห็นถึงความโดดเด่นด้วยการตัดสีเพื่อแยกออกจากส่วนท้ายของรถ 

อีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือไฟหน้าที่หันหลังให้กับรูปทรงตัว L เปลี่ยนมาเป็นดีไซน์แบบช่องเรียวยาวบางเฉียบ พร้อมช่องดักอากาศทรงตัว C สำหรับไประบายความร้อนให้ระบบเบรค ช่วยให้ด้านหน้ารถสวยงามดึงดูดทุกสายตา และ SF90 Stradale ยังติดตั้งไฟหน้าเทคโนโลยี Matrix LED พร้อมการทำงานแบบแอคทีฟเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยที่ชัดเจนในทุกสภาพการขับขี่ส่วนท้ายของรถโดดเด่นด้วยปลายท่อไอเสียที่ติดตั้งไว้ในตำแหน่งสูงซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเลย์เอาท์ของระบบไอเสียและเพราะระบบขับเคลื่อนจัดวางในตำแหน่งที่ต่ำกว่าที่ผ่านมาจึงสามารถออกแบบส่วนท้ายของรถให้ต่ำลงได้ตามไปด้วย อีกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบดั้งเดิมที่ผ่านมาของรถแบบหลังคาแข็งก็คือ รูปทรงของกระจกหลังที่ไม่ได้ต่อเนื่องจากหลังคาไปจนถึงกันชนหลังองค์ประกอบที่ไม่ต่อเนื่องนี้เป็นผลจากการถูกคั่นโดยตะแกรงระบายความร้อนของฝาครอบเครื่องยนต์นั่นเอง

ไฟท้ายก็มีดีไซน์ที่แตกต่างออกไปจากทรงกลมที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari อย่างเห็นได้ชัดโดดเด่นสะดุดตาด้วยวงแหวนเรืองแสงซึ่งมีส่วนที่เป็นแนวนอนมากขึ้น ทั้งยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ส่วนท้ายรถดูเตี้ยกว่าความเป็นจริงอีกด้วย

การออกแบบภายใน (INTERIOR) 

ในขณะที่ภายนอกของ SF90 Stradale ถูกรังสรรค์ให้เน้นย้ำถึงความต่อเนื่องลื่นไหลของการผสมผสานรูปทรง, เทคโนโลยี และสมรรถนะ เข้าด้วยกัน ห้องโดยสารกลับให้สัมผัสที่ดุดันยิ่งกว่า จุดประสงค์ที่ชัดเจนมากก็คือ เพื่อสร้างสรรค์ค็อกพิทซึ่งสะท้อนทิศทางใหม่ของดีไซน์ ที่จะเป็นต้นแบบของ Ferrari รุ่นอื่นๆ ต่อไปในอนาคต

ทีมออกแบบนำเอาแนวคิดแห่งอนาคตมาใช้ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างค็อกพิทที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอากาศยาน พร้อมให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับหน้าจอซึ่งทำหน้าที่แสดงผลการทำงานของรถ สิ่งนี้ช่วยตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างรถและคนขับ ข้อเท็จจริงก็คือ SF90 Stradale มีรูปแบบที่ข้ามผ่านกาลเวลาแบบก้าวกระโดดทั้งในเรื่องของหลักการและความพึงพอใจ ด้วยการอัพเดต Human Machine Interface ด้วยเทคโนโลยีดิจิตอลทั้งหมด 

เป็นครั้งแรกของ Ferrari ที่นำเอาจอดิจิตอลขนาด 16 นิ้ว ความละเอียดสูง ที่โค้งเข้าหาตัวผู้ขับ มาใช้ในการแสดงผลต่างๆ ของรถ เพื่อให้สามารถอ่านค่าได้ง่ายยิ่งขึ้น และให้อารมณ์แบบเดียวกับรถแข่ง F1 นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีการใช้หน้าจอแบบนี้ในโปรดักชั่นคาร์

เมื่อดับเครื่องยนต์ หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีดำกลมกลืนแนบเนียนไปกับห้องโดยสารสไตล์มินิมัลของรถ หน้าจอหลักจะแสดงเป็นมาตรวัดรอบเครื่องทรงกลมขนาดใหญ่ และล้อมรอบด้วยมาตรบอกสถานะแบตเตอรี่ ฝั่งหนึ่งของวัดรอบจะแสดงแผนที่ของระบบนำทาง ในขณะที่อีกฝั่งแสดงการทำงานของเครื่องเสียง

ปรัชญา “มือกุมพวงมาลัย” คือแรงขับเคลื่อนในการพัฒนา Human-Machine Interface ในรถแข่ง F1 มาอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆ ถ่ายโอนมายังสปอร์ตคาร์สำหรับถนน พวงมาลัยของ SF90 Stradale ได้รับการถ่ายทอดมาจากโลกแห่งการแข่งขัน พร้อมนำเสนอระบบควบคุมแบบสัมผัสซึ่งช่วยให้ผู้ขับสามารถเรียกใช้งานระบบต่างๆ เกือบทั้งหมดของรถได้โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย

การควบคุมแบบดั้งเดิม ซึ่งรวมถึงสวิตช์ควบคุมการทำงานของไฟหน้า, ที่ปัดน้ำฝน, ไฟเลี้ยว และสวิตช์ Manettino สำหรับเลือกโหมดการขับขี่ ยังคงมีอยู่เช่นเดิม

แป้นระบบสัมผัสขนาดกะทัดรัดที่ติดตั้งอยู่บนก้านพวงมาลัยฝั่งขวา ช่วยให้ผู้ขับสามารถควบคุมหน้าจอบนแดชบอร์ดได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ระบบสั่งงานด้วยเสียงและครูสคอนโทรลติดตั้งไว้ที่ก้านฝั่งซ้าย จุดที่โดดเด่นก็คือการนำสวิตช์แบบโรตารี่มาใช้การควบคุมระบบครูสคอนโทรล ซึ่งนำมาจากรถแข่ง F1 โดยตรง ที่ฝั่งล่างซ้ายของพวงมาลัยคือปุ่มสำหรับเลือกโหมดทั้งสี่ของแหล่งพลังงาน

Head Up Display คืออีกส่วนหนึ่งจากนวัตกรรม HMI สามารถแสดงข้อมูลได้หลากหลายให้เห็นบนกระจกหน้าในระยะที่เหมาะสมกับผู้ขับ จึงไม่รบกวนสายตาขณะขับขี่ อินเตอร์เฟซของ SF90 Stradale แสดงให้เห็นมุมมองที่สร้างสรรค์ของทีมดีไซเนอร์จาก Ferrari Style Centre พวกเขาตีความการแสดงผลบนหน้าจอในห้องโดยสารเหมือนดั่งภาพวาดบนผืนผ้าใบ ที่ซึ่งสามารถแสดงทุกฟังก์ชั่นและการควบคุมของรถได้ทั้งหมด กราฟฟิคบนหน้าจอของ SF90 Stradale ได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างเอฟเฟกต์ 3D ที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ในระหว่างการเปลี่ยนภาพ เช่น เมื่อเปิดแผงหน้าปัดหรือเมื่อสลับจากหน้าจอหนึ่งไปยังอีกหน้าจอหนึ่งนอกจากแนวคิดใหม่อย่าง HMI แล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญในห้องโดยสารก็คืออินเตอร์เฟซบริเวณคอนโซลกลาง ปุ่มควบคุมสไตล์ F1 คือเอกลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของ Ferrari ยุคใหม่ ตอนนี้ถูกออกแบบใหม่หมดและติดตั้งบนแผ่นโลหะทรงโมเดิร์น ที่สะท้อนเอกลักษณ์อันโดดเด่นจากอดีตกาล... “ช่องคันเกียร์แบบคลาสสิค”

บริการดูแลรักษา 7 ปี (7 YEARS MAINTENANCE)มาตรฐานคุณภาพที่เหนือชั้นของ Ferrari และการมุ่งเน้นที่การบริการลูกค้า เป็นหัวใจสำคัญของโปรแกรมการบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นเป็น 7 ปี สำหรับ SF90 Stradale โปรแกรมครอบคลุมการบำรุงรักษาตามปกติทั้งหมดในช่วง 7 ปีแรกของรถ การบำรุงรักษาตามกำหนดเวลานี้เป็นบริการพิเศษที่ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่ารถของท่านจะมีประสิทธิภาพสูงสุดและความปลอดภัยตลอดเวลา บริการพิเศษนี้มีให้สำหรับผู้ที่ซื้อ Ferrari มือสองด้วยเช่นกัน การบำรุงรักษาตามปกติ (ตามระยะทาง 20,000 กม. หรือปีละครั้ง โดยไม่มีจำกัดระยะทาง), อะไหล่แท้ และการตรวจเช็คอย่างพิถีพิถันโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมโดยตรงที่ศูนย์ฝึกอบรมของ Ferrari ในมาราเนลโล โดยใช้เครื่องมือวินิจฉัยที่ทันสมัยที่สุด บริการนี้ครอบคลุมทั่วโลก รวมถึงตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั้งหมด โปรแกรมการบำรุงรักษานี้ จะขยายขอบเขตของบริการหลังการขายที่เสนอโดย Ferrari เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่ต้องการรักษาประสิทธิภาพและความเป็นเลิศซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ทุกคันที่สร้างขึ้นจากโรงงานในมาราเนลโล

สามารถดาวน์โหลดรูปภาพของ Ferrari SF90 Stradale ได้จากเว็บไซต์ของ Ferrari ที่ www.media.ferrari.com

 ข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค (TECHNICAL SPECIFICATIONS)

เครื่องยนต์ 

ชนิด V8 - 90° - turbo – dry sump 

ปริมาตรความจุ 3990 cc

กำลังสูงสุด* 574 kW (780 cv) @ 7500 rpm

แรงบิดสูงสุด 800 Nm @ 6000 rpm

อัตราส่วนกำลังต่อลิตร 195 cv/l

รอบเครื่องยนต์สูงสุด 8000 rpm

อัตราส่วนกำลังอัด 9.5:1  

ระบบไฮบริด  

กำลังสูงสุดของมอเตอร์ไฟฟ้า 162 kW (220 cv)

ความจุแบตเตอรี่ 7.9 kWh

ระยะทางสูงสุดเมื่อขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 25 km

มิติและน้ำหนัก  

ยาว 4710 mm

กว้าง 1972 mm

สูง 1186 mm

ความยาวฐานล้อ 2650 mm

ความกว้างฐานล้อหน้า 1679 mm

ความกว้างฐานล้อหลัง 1652 mm

น้ำหนักเปล่า** 1570 kg

อัตราส่วนการถ่ายน้ำหนัก 45% front - 55% rear 

ความจุห้องเก็บสัมภาระ 74 l

ความจุที่เก็บสัมภาระด้านหลัง 20 l

ความจุถังน้ำมัน 68 l (2 reserve)

ยาง  

หน้า 255/35 ZR 20 J9.5  

หลัง 315/30 ZR 20 J11.5  

เบรค  

หน้า 398 x 223 x 38 mm

หลัง 360 x 233 x 32 mm

ระบบขับเคลื่อนและชุดเกียร์ 8-speed, F1 dual-clutch transmission

ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ eSSC: E4WD (eTC, eDiff3), SCME-Frs, FDE2.0, EPS, high performance ABS/EBD with energy recovery 

สมรรถนะ  

ความเร็วสูงสุด 340 km/h

0-100 km/h 2.5 s

0-200 km/h 6.7 s

100-0 km/h <29.5 m

น้ำหนักเปล่า/กำลัง 1.57 kg/cv

เวลาต่อรอบที่สนาม Fiorano 79s

อัตราสิ้นเปลืองและการปล่อยมลพิษ  

เป็นไปตามมาตรฐานข้อกำหนด

 

*With 98 octane petrol  

**With optional extras 

     

 

ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2