• 29 มิถุนายน 2018 at 12:19



Hamburg, Germany, to ban cars in 2034

นโยบายอันทะเยอทะยานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาเมืองที่เรียกว่า “Green Network” ซึ่งห้ามไม่ให้รถยนต์เข้าสู่ใจกลางเมืองภายในปี 2034 ครอบคลุมพื้นที่ 292 ตารางไมล์หรือราว 40% ของตัวเมืองทั้งหมด พร้อมกับเชื่อมโยงสวนสาธารณะและพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจให้ต่อเนื่องถึงกันหมด “ภายในอีก 15 – 20 ปีข้างหน้า ชาวเมืองฮัมบูร์กและนักท่องเที่ยวจะสามารถชมทัศนียภาพใจกลางเมืองได้ด้วยการเดิน วิ่งหรือปั่นจักรยาน” Angelika Fritsch โฆษกของเมืองกล่าว นอกจากการมุ่งเป้าหมายให้ฮัมบูร์กเป็นเมืองที่มีความเขียวขจีและเงียบสงบยิ่งขึ้นแล้ว เป้าหมายหลักยังอยู่ที่การลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อลดภาวะโลกร้อน โดยในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉลี่ยในเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ระดับน้ำทะเลก็ปรับสูงขึ้นอีก 20 ซม.แต่ก็มีบางฝ่ายได้ออกมาวิจารณ์ว่าพื้นที่ว่างบางส่วนเหมาะสำหรับการพัฒนาธุรกิจหรือโครงการบ้านจัดสรรมากกว่า ขณะที่ทางการเมืองฮัมบูร์กก็เปิดเผยว่า พื้นที่บางส่วนจะถูกพัฒนาเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระดับหนึ่งและคาดหวังว่าแนวทางนี้จะดึงดูดคนที่มีการศึกษาสูงให้เข้ามาพักอาศัยมากขึ้น



 




GM to drop Chevrolet in Europe

ความเคลื่อนไหวหลังจาก GM ประกาศถอนแบรนด์ Chevrolet ออกมาจากตลาดยุโรปตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นไป ล่าสุด General Motors ออกมาเปิดเผยถึงเบื้องหลังการตัดสินใจในครั้งนี้ Alan Batey ประธานกรรมการ Chevrolet Global กล่าวว่า GM ตัดสินใจถอนแบรนด์ Chevrolet ออกจากยุโรปเนื่องจากมีตลาดที่ทับซ้อนกับแบรนด์ในเครือเดียวกันอย่าง Opel และ Vauxhall ซึ่งทั้งสองแบรนด์ใช้แพลทฟอร์มเดียวกัน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะแบ่งแยกการทำตลาดออกจากกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองแบรนด์ต้องใช้พื้นที่โชว์รูมร่วมกัน “การผลิตรถสองแบรนด์มีต้นทุนที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะวางตำแหน่งการตลาดให้ต่างกันได้” Batey กล่าว หัวเรือใหญ่ Chevrolet ยังเผยอีกด้วยว่า ยอดขายรถแบรนด์โบว์ไทในยุโรปเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 200,000 คันเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดเพียง 1% ห่างไกลกับ Opel/Vauxhall ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากถึง 6% ในภูมิภาคยุโรป “คุณจะต้องตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ของ Chevrolet และ GM ในภาพรวม บริษัทนี้มีขนาดใหญ่มากและมีแรงกดดันในการลงทุนในแต่ละภูมิภาค Chevrolet มียอดขาย 5 ล้านคันทั่วโลกและเรามองเห็นโอกาสมากมายในการขยายแบรนด์ในเอเชีย” Batey กล่าว GM คาดหวังด้วยว่าการถอนแบรนด์ Chevrolet ในครั้งนี้จะช่วยให้ Opel/Vauxhall มีกำไรในยุโรปเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต




Thailand now in top 10 of world’s largest auto producers

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รายงานยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยของปี 2556 ที่ผ่านมา พบยอดผลิตมากกว่า 2.45 ล้านคัน ซึ่งเป็นยอดการผลิตที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ส่งผลให้ประเทศไทยขึ้นเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุด 1 ใน 10 ของโลก ซึ่งจำนวนการผลิตรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม – ธันวาคม 2556 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,457,086 คัน สูงสุดในรอบ 52 ปี ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตรถยนต์ใน 10 อันดับแรกของโลก โดยเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – ธันวาคม 2555 ร้อยละ 0.14 แม้ยอดผลิตในเดือนที่ผ่านมา จะต่ำสุดในรอบ 20 เดือนก็ตาม
ทั้งนี้ ยอดผลิตดังกล่าวเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 1,335,783 คัน คิดเป็นร้อยละ 54.36 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 6.72 ขณะที่เป็นยอดผลิตเพื่อการส่งออกผลิต 1,121,303 คัน เท่ากับร้อยละ 45.64 เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ระยะเวลาเดียวกัน ร้อยละ 9.75 ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากสำหรับแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ในบ้านเรา





MCLAREN HARDCORE MP4-12C MODEL

ค่ายซูเปอร์คาร์บ้าพลังอย่าง McLaren ตกเป็นข่าวว่ากำลังซุ่มพัฒนาซูเปอร์คาร์ 12C เวอร์ชั่นแรงเอาใจนักเลงรถฮาร์ดคอร์ เน้นความทรงพลังและน้ำหนักเบากว่าเดิม หวังแข่งขันกับเจ้าม้าลำพอง 458 Speciale ของค่าย Ferrari ซึ่ง 12C เวอร์ชั่นพิเศษจะออกจำหน่ายในช่วงปลายปีนี้ ทาง McLaren ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมีอัตราเร่งดีกว่า 458 Speciale ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง V8 ความจุกระบอกสูบ 3.8 ลิตร ที่ได้รับการอัพเกรดใหม่ให้มีแรงม้ามากกว่า 650 ตัว ใช้โครงสร้าง MonoCell ผลิตด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ มาพร้อมเบรกคาร์บอนเซรามิกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากหัวใจขับเคลื่อนที่แรงขึ้นแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกยังถูกเสริมหล่อเพิ่มเติมโดยหยิบยืมสไตล์มาจากไฮเปอร์คาร์รุ่นท็อปอย่าง P1 รายงานข่าวระบุด้วยว่า ซูเปอร์คาร์ทุกรุ่นของ McLaren ในอนาคตจะใช้รูปลักษณ์ด้านหน้าแบบเดียวกับ P1 ทั้งหมดซึ่งจะช่วยสร้างแรงกดตามหลักแอโรไดนามิกสำหรับภายในห้องโดยสารจะได้รับการปรับปรุงใหม่เช่นกัน เชื่อว่ากันว่า 12C เวอร์ชั่นแรงกว่าเดิมรุ่นนี้จะพัฒนาบนพื้นฐานของ 12C รุ่นไมเนอร์เชนจ์ที่จะเปิดตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันในอีกไม่กี่อึดใจ





Nissan Leaf tops 100,000 sales

นิสสัน หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่สำหรับเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยยอดจำหน่ายนิสสัน ลีฟ กว่า 1 แสนคันทั่วโลก หลังจากการเปิดตัวมาได้ 3 ปี 1 เดือน นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 นิสสันได้ประกาศว่าจะเริ่มทำตลาดนิสสัน ลีฟอย่างเป็นทางการ และถือเป็นรถยนต์ปราศจากมลพิษรุ่นแรกของโลกที่ทำตลาดในวงกว้าง ซึ่งลีฟถือเป็นสินค้าที่มีความสำคัญมากกับนิสสัน ในฐานะเจ้าของส่วนแบ่งตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สูงที่สุดในโลกถึง 45% ลูกค้าของนิสสัน ลีฟนั้น มีอยู่ใน 35 ประเทศจาก 4 ทวีปทั่วโลก ซึ่งนิสสันเองก็มั่นใจว่าหลังจากการมีรถยนต์วิ่งอยู่ทั่วโลกกว่า 1 แสนคัน น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอต่อการเดินหน้าทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างจริงจังเสียที โดยจะเริ่มจากการทำตลาดรถยนต์เชิงพาณิชย์พลังงานไฟฟ้าอย่างอี-เอ็นวี200 ในตลาดยุโรปและญี่ปุ่นในปีนี้






2014 Byd Qin Hybrid

    
ค่ายรถจากแดนมังกรอย่าง BYD เปิดตัวยนตรกรรมไฮบริดรุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ “Qin” ซึ่งออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วในเดือนมกราคมที่ผ่านมา นับเป็นอีกหนึ่งยนตกรรมไฮบริดที่ชาวจีนภาคภูมิใจไม่น้อยเลยทีเดียว เป็นการผสมผสานระหว่าง “สมรรถนะ เทคโนโลยีและความประหยัด” เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ด้วยเครื่องยนต์เบนซินบล็อก 1.5 ลิตร 151 แรงม้า แรงบิด 240 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 147 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร ทำให้พละกำลังสูงสุดของ BYD Qin มีมากถึง 291 แรงม้า แรงบิดสูงถึง 479 นิวตันเมตร ทาง BYD เผยว่า Qin มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ภายในเวลาเพียง 5.9 วินาทีเท่านั้น ท็อปสปีด 185 กม./ชม. สามารถโลดแล่นด้วยพลังไฟฟ้าได้ระยะทางถึง 70 กม. ดังนั้นจึงบริโภคน้ำมันแบบสุดประหยัดระดับ 62.5 กม./ลิตร โหมดการขับขี่มีให้เลือกถึงสี่แบบคือ EV+ECO, EV+SPORT, HEV+ECO และ HEV+SPORT รูปลักษณ์ภายนอกก็ถือว่าหล่อไม่เบา ทำให้ยอดสั่งจองพุ่งกระฉูดไปแล้วถึง 4,155 คัน โดยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 32,266 เหรียญสหรัฐฯ หรือ ราวๆ 1 ล้านบาทไทย ซึ่งทาง BYD มีแผนการส่ง Qin ออกทำตลาดในยุโรปช่วงต้นปีหน้าอีกด้วย นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดตลาดสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายปี 2015





Photo: www.chinacartimes.com





ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2